ป้อมพระสุเมรุ

ที่ตั้ง
ป้อมพระสุเมรุตั้งอยู่บริเวณมุมที่ถนนพระอาทิตย์และถนนพระสุเมรุเชื่อมต่อกัน ติดแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากคลองบางลำพูหรือคลองรอบกรุงด้านเหนือ เกาะรัตนโกสินทร์ชั้นนอก ปัจจุบันได้รับการบูรณะและปรับปรุงสภาพแวดล้อมโดยรอบ จัดทำเป็นสวนสาธารณะสำหรับชุมชน ชื่อว่า “ สวนสันติชัยปราการ”

prasumad 1ประวัติ
ป้อมพระสุเมรสร้างเมื่อ พ.ศ. 2326 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันพระนครซึ่งได้สร้างขึ้นทั้งหมดจำนวน 14 ป้อม แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงป้อมพระสุเมรุและป้อมมหากาฬ รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้สร้างวังเจ้านายไว้ที่บริเวณริมป้อมที่สำคัญด้วย สำหรับป้อมพระสุเมรุมีวังริมป้อมเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา เพื่อให้มีหน้าที่รักษาพระนครทางด้านปากคลองบางลำพูบน ซึ่งเป็นมุมพระนครด้านเหนือ และวังริมป้อมจักรเพชรเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ เพื่อรักษามุมพระนครด้านใต้

ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
ป้อมพระสุเมรลักษณะเป็นป้อมก่ออิฐถือปูนทรงแปดเหลี่ยมหันหน้าออกริมคลองบางลำพู รากฐานของป้อมและกำแพงเป็นฐานแผ่อยู่ต่ำกว่าระดับผิวดิน 2 เมตร วัดจากด้านเหนือไปใต้กว้าง 45 เมตร สูงจากพื้นดินถึงยอดใบเสมาบนป้อม 10.50 เมตร และจากพื้นป้อมชั้นบนถึงหลังคาหอรบ 18.90 เมตร ลักษณะเป็นป้อม 3 ชั้นมีบันไดขึ้นป้อมจากด้านในกำแพงจำนวน 3 บันได มีเชิงเทินและแผงบังปืน ป้อมชั้นล่างแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยมีกำแพงใบเสมาชนิดปลายแหลมกั้นระหว่างผนังป้อมชั้นล่างและชั้นบน มีประตูออกไปสู่ส่วนหน้าของป้อม ส่วนหน้าของป้อมชั้นล่างนี้ กำแพงมีใบเสมาชนิดเหลี่ยมขนาดใหญ่ แต่ละเสมาเจาะช่องตีนกาหรือกากบาทเล็กๆหลายช่อง ป้อมชั้นที่สองมีบันไดทางขึ้นอยู่ทางส่วนหลังของป้อม 1 บันได (16 ขั้น) กำแพงของป้อมชั้นที่สองนี้มีใบเสมาชนิดปลายแหลม ต่ำจากใบเสมาลงมาเจาะเป็นช่องโค้งปลายแหลม (Pointed arch) ด้านละ 4 ช่องและยังมีช่องตีนกาเล็กๆ เรียงสับหว่างกันอีก 3 แถว ตรงกลางป้อมก่อผนังแบ่งเป็นห้องๆ รวม 38 ห้อง เพื่อเก็บกระสุนดินดำและอาวุธ ส่วนหอรบรูปเจ็ดเหลี่ยมและหลังคาป้อมได้พังทลายไประหว่างรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 

           prasumad 2 prasumad 5 prasumad 3

ในปี พ.ศ. 2524 กรมศิลปากรได้บูรณะขึ้นใหม่เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี โดยอาศัยรูปถ่ายของเดิมครั้งรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนป้อมพระสุเมรุพร้อมด้วยปราการเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 66 ตอนที่ 64 วันที่ 22 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2492

การขุดค้น
จากการขุดตรวจบริเวณโบราณสถานป้อมพระสุเมรุ ปากคลองบางลำพู ในเขตเกาะกรุงรัตนโกสินทร์อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการก่อสร้างพระที่นั่งสันติไชยปราการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ดำเนินงานโดยบริษัทศิวกรการช่าง จำกัด ภายใต้การควบคุมของสำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2542 นั้น ได้พบโบราณวัตถุเป็นจำนวนมากที่อาจแยกตามประเภทของวัตถุได้ดังนี้

ประเภทดินเผา 
เศษภาชนะดินเผา ส่วนใหญ่สภาพชำรุดแตกหัก สันนิษฐานว่าถูกนำมาทิ้งเป็นขยะหรือไม่ก็ปนอยู่ในชั้นดินบดอัดเพื่อทำเป็นฐานราก มีทั้งแบบเนื้อดิน (Earthenware) และเนื้อแกร่ง (Stoneware) ประเภท หม้อ อ่าง กระปุก ไห ชาม อ่างใหญ่ และกระถาง นอกจากนี้ยังมีพวกเนื้อกระเบื้อง (Porcelain) เป็นพวกเครื่องถ้วยลายครามและเบญจรงค์ทีใช้ในราชสำนักอยุธยาและกรุงเทพฯ เครื่องถ้วยจีนที่มีอายุตั้งแต่ สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 – 20 ส่วนเครื่องถ้วยญี่ปุ่นมีพบที่เก่าถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และบางส่วนเป็นเครื่องถ้วยตะวันตก เช่น เนเธอร์แลนด์ ภาชนะเนื้อกระเบื้องนี้พบตั้งแต่จาน ชาม ถ้วย ช้อน โถ ถ้วยน้ำชาเล็กๆ ไห และฝาปิดภาชนะ การที่เศษภาชนะดินเผาที่พบมีการทับถมปะปนกันสูงมากแสดงถึงการรบกวนจากการทำกิจกรรมในช่วงเวลาต่าง

โอ่ง (ตุ่ม) เป็นตุ่มก้นสอบ ปากแคบ ขนาดโดยเฉลี่ย กว้าง 53-55 เซนติเมตร สูง 55-58 เซนติเมตร พบจากการขุดตรวจสอบอบฐานทางด้านทิศตะวันตกทั้งสิ้น 8 ใบในลักษณะคว่ำลง ภายในว่างเปล่า เรียงในลักษณะสลับฟันปลาซ้อนเป็นชั้นๆแล้วใช้ดินถมอัดแทรกเข้าไป จากนั้นจึงปรับระดับโดยมีการปูอิฐทับที่ระดับ ความลึก 100 เซนติเมตรจากผิวดิน ก่อนที่จะถมอัดดิน แล้วปูอิฐที่ความลึก 50 เซนติเมตรจากผิวดินอีกชั้นหนึ่ง

กระเบื้อง แบ่งได้เป็น 4 ชนิดคือ กระเบื้องหางเหยี่ยว (กระเบื้องเกล็ดเต่า) กระเบื้องกาบกล้วย (กระเบื้องกาบ) กระเบื้องเชิงชาย ซึ่งพบเพียงชิ้นเดียว กระเบื้องเหล่านี้น่าจะรื้อมาจากอยุธยาเพื่อใช้ถมทำฐานรากกำแพงกรุงรัตนโกสินทร์ในช่วง พ.ศ. 2325 นอกจากนี้ก็มีกระเบื้องปูพื้นจากการบูรณะเมื่อ พ.ศ. 2524-2525

อิฐ แบ่งได้เป็นอิฐที่สมบูรณ์ใช้สำหรับก่อสร้างตัวป้อม ขนาดโดยเฉลี่ยกว้าง 15 เซนติเมตร ยาว 28 – 30 เซนติเมตร และหนา 5-9 เซนติเมตร และอิฐหัก ซึ่งคงรื้อมาจากอยุธยาเช่นเดียวกับกระเบื้อง ใช้ถมเป็นฐานรากของตัวป้อม

พระพิมพ์ พบพระพิมพ์แบบเนื้อชินทำเลียนแบบพระกำแพงเจ็ด แต่น่าจะเป็นของสมัยปัจจุบันมากกว่า

ประเภทโลหะ
ส่วนใหญ่ชำรุดไม่สามารถระบุประโยชน์ใช้งานได้ บางชิ้นเป็นชิ้นส่วนเครื่องเรือน บ้างก็เป็นเข็มขัดรัดสายไฟ กระทั่งปลอกรัดสายยางขนาดใหญ่ก็ได้พบด้วย

ประเภทกระดูกสัตว์และเปลือกหอย
กระดูกสัตว์ที่ขุดพบมีจำนวนน้อยมาก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นกระดูกซึ่งคนที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ในช่วงรัชกาลที่ 7 นำมาประกอบอาหาร ส่วนเปลือกหอยพบเพียง 2 ชิ้น เป็นหอยแครงและหอยเบี้ยขาว

ประเภทไม้ โบราณวัตถุประเภทนี้มักพบในชั้นดินระดับความลึก 20 – 40 เซนติเมตรจากผิวดิน ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ใต้ชั้นคอนกรีตปูกระเบื้องจากการบูรณะในปี พ.ศ. 2524 – 2525 สภาพเป็นชิ้นไม้มีร่องรอยเผาไหม้ ชั้นดินในบริเวณที่พบจะมีสีดำ มีส่วนผสมของเถ้าถ่านเหมือนกันแทบทุกจุดในบริเวณชานป้อมชั้นที่หนึ่ง จึงอาจนำมาเชื่อมโยงกับหลักฐานเอกสาร ที่กล่าวถึง เหตุการณ์ไฟไหม้ป้อมพระสุเมรุใน พ.ศ. 2514 ได้

ประเภทปูน
เป็นปูนที่ใช้ในการสออิฐและฉาบผนังในช่วงการก่อสร้างและซ่อมแซม กับทั้งเศษปูนเก่าที่ใช้บดอัดทำฐานราก

ประเภทแก้ว
พบชิ้นส่วนเครื่องแก้วสีชาและสีเขียว สันนิษฐานว่าเป็นขวดที่นำเข้าจากต่างประเทศ

ข้อสรุปจากการขุดตรวจ
การขุดตรวจมีจุดมุ่งหมายหลักในการตรวจสอบระบบโครงสร้างฐานรากและสืบทราบข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าโบราณวัตถุที่ขุดพบดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะไม่สามารถบอกลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพื้นที่โบราณสถานป้อมพระสุเมรุได้ แต่ก็ได้พบหลักฐานการบูรณะซ้อนทับเป็นฐานบัวสามแนวที่หลุมขุดตรวจตรงมุมป้อมทิศตะวันตกดังนี้

 ฐานบัวชั้นแรก อยู่ลึก 100เซนติเมตร เป็นรูปบัวคว่ำ ฉาบปูนเรียบ น่าจะเป็นฐานของตัวป้อมเดิมเมื่อแรกสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1
ฐานบัวชั้นที่สองอยู่ลึก 50 เซนติเมตร เป็นรูปบัวคว่ำฉาบปูนเรียบเช่นเดียวกันแต่ก่อปิดทับซ้อนบนฐานชั้นแรก ดังนั้นจึงควรเป็นการซ่อมบูรณะสมัยรัชกาลที่ 7 ในพ.ศ. 2471
ฐานบัวชั้นที่สาม อยู่ที่ระดับพื้นดินปกติ เป็นงานบูรณะเมื่อพ.ศ. 2525

นอกจากนี้การขุดตรวจยังทำให้ทราบถึงระบบการทำฐานรากของป้อม ว่ามีทั้งแบบถมอัดด้วยอิฐหักคล้ายกับที่เคยพบตรงแนวกำแพงเมืองเก่าริมคลองคูเมืองเดิม วิธีนี้กระทำโดยก่อกำแพงขนานกันขึ้นสองด้าน จากนั้นถมอัดเศษอิฐหักลงไปชั้นล่างใช้อิฐขนาดเล็กส่วนชั้นบนใช้อิฐขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อให้เกิดความแน่นหนาแข็งแรง ส่วนฐานรากอีกแบบหนึ่งคือแบบถมโปร่ง กระทำโดยนำตุ่มสามโคกวางคว่ำสลับกันแล้วถมดินอัดลงไปในช่องว่างเพื่อลดน้ำหนักกดทับรอบๆตัวป้อม เทคนิคแบบถมโปร่งนี้เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อมีการก่อสร้างภูเขาทองใน พ.ศ. 2407 ครั้งนั้นใช้ตุ่มสามโคกวางคว่ำแล้วอัดด้วยดินเป็นชั้นๆ นอกจากนี้ยังปรากฏที่วิหารวัดราชประดิษฐ์และวัดราชบพิธแต่เปลี่ยนไปใช้ไหซองแทนตุ่มสามโคก จากการคำนวณน้ำหนักเทียบกับการอัดดินเปล่าๆพบว่าระบบถมโปร่งช่วยลดน้ำหนักลงไปได้ถึงครึ่งหนึ่งทีเดียว

ในส่วนของพื้นป้อม สมัยแรกเริ่มน่าจะเป็นพื้นปูอิฐ ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นพื้นไม้กระดานวางบนตอม่อก่ออิฐถือปูน สำหรับพื้นของชานป้อมชั้นที่2 รวมทั้งหอรบชั้นที่ 3 นั้นน่าจะเป็นไม้ เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายเก่าสมัยรัชกาลที่ 5 และในพ.ศ. 2525 ก็ได้ทำการบูรณะจนกระทั่งมีสภาพดังที่เห็นในปัจจุบัน

บรรณานุกรม
เทพชู ทับทอง. กรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ 200 ปี. กรุงเทพฯ : เทพพิทักษ์การพิมพ์, 2524.
ศูนย์ข้อมูลเมืองโบราณ. "ป้อมพระสุเมรุ : การขุดตรวจใน พ.ศ. 2542 ". เมืองโบราณ. 28 : 1 (ม.ค. - มี.ค. 2545), หน้า 128-129.

 

สงวนลิขสิทธิ์ 2558 หอสมุดวังท่าพระ สำนักหอสมุดกลาง ม.ศิลปากร
Designed by themescreative.com