• Home
  • Country
    • กัมพูชา
    • ไทย
    • บรูไน ดารุสซาลาม
    • ฟิลิปปินส์
    • มาเลเซีย
    • เมียนมาร์
    • ลาว
    • เวียดนาม
    • สิงคโปร์
    • อินโดนีเซีย
  • About
  • Contact
หัวข้อ
ลำดับประวัติศาสตร์ศิลปะเขมร
สถาปัตยกรรมกัมพูชาหรือเขมร
    แบบแผนการสร้างสถาปัตยกรรมขอม
สมัยก่อนเมืองพระนคร (Pre-Angkorian period)
    อาศรมมหาฤาษี (Asram Maharosei)
    ศิลปะแบบพนมดา (Phnom Da Style)
    กลุ่มปราสาทซ็อมโบร์ไพรกุกห์ หรือ สมโบร์ไพรกุก (Sambor Prei Kuk)
    ปราสาทอันแดต (Prasat Andaet)
    ปราสาทตาว (Prasat Tao)
    ปราสาทเยียยปวน(Prasat Yeai Poeun / Prasat Yeay Poeun)
    ปราสาทด็อมแร็ย-กรับ (Prasat Damrei Krap)
สมัยเมืองพระนคร (Angkorian period)
ประติมากรรมเขมร
ศิลปะกัมพูชา

แบบแผนการสร้างสถาปัตยกรรมขอม

31601   1 มิถุนายน 2568

            สถาปัตยกรรมขอม มีการออกแบบก่อสร้างอย่างมีระเบียบแบบแผน ภายในอาณาบริเวณของปราสาท จึงมีการวางตำแหน่งและการสร้างทางสถาปัตยกรรม ภายใต้คติความเชื่อเรื่องศาสนสถานอันเป็นที่สถิตของเทพเจ้า และเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ในคติการสร้างปราสาท สามารถจำแนกแบ่งแผนผังโครงสร้างได้ 2 แบบใหญ่ๆ คือ
            1. แบบแผนผังล้อมรอบจุดศูนย์กลาง ซึ่งมีองค์ปราสาทประธานอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยระเบียงคด อาจมีสระน้ำและกำแพงล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง สถาปัตยกรรมขอมแบบนี้สร้างอยู่บนพื้นราบ
            2. แบบแผนผังที่สร้างตรงเข้าสู่จุดศูนย์กลาง เป็นคติความเชื่อเรื่องศาสนสถานที่อยู่บนภูเขา ด้วยความรู้สึกถึงการเดินทางจากพื้นราบของโลกมนุษย์ ไปเฝ้าเทวาลัยอันเป็นที่สถิตของเทพเจ้าที่ประทับอยู่บนสวรรค์อันเป็นที่สูง ตลอดเส้นทางจะนิยมสร้างบันไดทางเดินและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เพื่อนำขึ้นไปสู่ปราสาทประธานที่อยู่บนยอดสูงสุด

               ดังนั้น แบบแผนการสร้างสถาปัตยกรรมขอมจึงประกอบไปด้วยส่วนรายละเอียดต่างๆ ดังสามารถอธิบายโดยสังเขป ดังนี้


ปรางค์ประธาน (Prang) เป็นปรางค์องค์กลางที่มีขนาดสูงใหญ่และโดดเด่นมากที่สุด ส่วนใหญ่จะสร้าง ณ ตำแหน่งกึ่งกลางของปรางค์ทั้งหมดภายในปรางค์ประธานเป็นใจกลางสถานอันศักดิ์สิทธิ์(Central sanctuary) คือห้องที่เรียกว่า “ห้องครรภคฤหะ(Garbhagriha)” หรือ “เรือนธาตุ” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานสัญลักษณ์แห่งองค์เทพหรือประติมากรรมรูปเคารพสูงสุด หากเป็นลัทธิไศวนิกายจะประดิษฐานศิวลึงค์(linga)ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งพระศิวะ หรือลัทธิไวษณพนิกายก็จะประดิษฐานประติมากรรมเทวรูปพระวิษณุ 

ปรางค์ประธานนครวัด ตั้งอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลาง มีขนาดใหญ่และสูงที่สุด

ศิวลึงค์ภายในห้องครรภคฤหะหรือเรือนธาตุของนครวัด

เรือนยอดหรือส่วนยอด (Rooftop Prang) คือช่วงบนขององค์ปรางค์เหนือส่วนเรือนธาตุขึ้นไป เป็นหลังคาซ้อนชั้นลดหลั่นกัน มักแกะสลักลวดลายเป็นกลีบซ้อนกันเรียกว่า “กลีบขนุน” แต่ละชั้นมีนาคปัก  หมายถึง  หัวพญานาคประดับที่มุมประธาน แต่ละด้านประดับด้วย  “บันแถลง” หมายถึง รูปจั่วหรือซุ้มหน้าต่าง เป็นรูปสัญลักษณ์ของวิมานซึ่งเป็นที่สถิตของเทวดา ส่วนยอดสุดเป็นรูปกลีบบัวรองรับส่วนยอด เรียกว่า “กลศ (Kalasa)”  มีรูปร่างคล้ายหม้อน้ำเทพมนตร์ในศาสนาฮินดู

มณฑป (Mandapa or Mondop) หรืออาคารเรือนมณฑป เป็นอาคารมุขยื่นที่สร้างไว้ติดกับปรางค์ประธาน ส่วนภายในของมณฑปจะสร้างเป็นห้องโถงใหญ่ สร้างเป็นอาคารเพิ่มมุมเพื่อออกมุขรับกับซุ้มประตูทางเข้าสู่ด้านหน้าของห้องครรภคฤหะ
 
มุขกระสัน หรือ อันตราละ (Antarala) คือทางเดินมีหลังคาคลุม หรือฉนวนทางเดินสู่ปราสาท โดยสร้างเชื่อมระหว่างปรางค์ประธานกับมณฑป

ระเบียงคด (Gallery or Cloister) คือ เฉลียงหรือระเบียงทางเดินที่มีสร้างล้อมรอบปรางค์ประธาน มีลักษณะเป็นวิหารล้อมรอบลานด้านในของวิหารหลัก หรือกำแพงชั้นในที่ล้อมรอบปราสาทประธาน นิยมแกะสลักประติมากรรมบนผนังของระเบียงคด จึงเปรียบเสมือนดั่งศิลปกรรมบนผนังที่ล้อมรอบไว้ทั้งสี่ทิศ


    เรือนยอดปราสาทบากองมณฑปปราสาทบันทายสรี

 

มุขกระสัน (อันตราละ)

ระเบียงคด นครวัด

ทับหลัง (Lintel) คือแผ่นหินหรือแท่งหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใช้ทับบนกรอบประตูเพื่อรองรับเครื่องบนหรือโครงสร้างหลังคา เป็นการสร้างเพื่อรับน้ำหนักของชั้นหลังคา นิยมสลักลวดลายอันงดงามและภาพเล่าเรื่องต่างๆในศาสนาฮินดู ลักษณะแบบของทับหลังยังสามารถทำให้ทราบได้ว่าศาสนสถานนั้นสร้างขึ้นเมื่อใด เพราะทับหลังจะสร้างขึ้นพร้อมกับตัวปราสาทเสมอ

หน้าบัน (Pediment) คือพื้นที่รูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วอยู่เหนือทับหลังขึ้นไป  เป็นส่วนสำคัญของหลังคา ตัวหน้าบันนิยมสลักลวดลายและภาพเล่าเรื่องที่สัมพันธ์กับภาพประติมากรรมบนทับหลัง
 
เสาติดผนัง (Pilastre) คือ วงกบกรอบประตู เป็นเสาสี่เหลี่ยมรองรับน้ำหนักของส่วนบนของส่วนหลังคา นิยมแกะสลักลวดลายอย่างงดงามตระการตา 

เสาประดับกรอบประตู(Colonnette) เป็นเสาที่สร้างอยู่ด้านหน้าวงกบกรอบประตู วางขนาบอยู่สองข้างประตู ทำจากหินทราย มีทั้งเสาทรงกลมและทรงแปดเหลี่ยม นิยมประดับด้วยลายที่เรียกกันว่าวงแหวน และลายใบไม้สามเหลี่ยม ทำขึ้นเพื่อการประดับตกแต่งมากกว่าการรับน้ำหนัก ทำให้ในส่วนนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะของลวดลายตามปราสาทขอมแต่ละสมัย
 

ทับหลังปราสาทพระโค

หน้าบันปราสาทบันทานสรี

ประตูหลอก เสาติดผนังและเสาประดับกรอบประตู เสาติดผนัง (ซ้าย) และเสาประดับกรอบประตู (ขวา) ปราสาทบันทายสรี

กำแพงแก้ว (Enclosure Wall) เป็นแนวกำแพงที่ล้อมรอบศาสนสถานหรือปราสาท ตรงกลางกำแพงมีซุ้มประตูทางเข้าทั้งสี่ด้านหรือสี่ทิศ เรียกว่า โคปุระ

โคปุระ(Gopura) คือ ซุ้มประตู หรือ ช่องทางสำหรับเข้าออกกำแพงที่ล้อมรอบปราสาท 

บรรณาลัย (Library) หรือ ห้องสมุด หรือ หอหนังสือ ลักษณะเป็นอาคารขนาดเล็กที่มีแผนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู

ทางดำเนิน หรือ ชาลาทางเดิน (Royal walkway)  ลักษณะเป็นทางเดินสำหรับกษัตริย์หรือเส้นทางของผู้มาสักการบูชา เป็นทางเชื่อมระหว่างประตูด้านนอกเข้าสู่องค์ปราสาท ตลอดเส้นทางมักประดับด้วยเสาตั้งเป็นแนวตลอดทางเดินเรียกว่า “เสานางเรียง” หรือ “เสานางจรัล”

เสานางเรียง  หรือ เสานางจรัล (Stone pillars or Candle columns) เป็นเสาตั้งอยู่ลอยๆเรียงตามแนวทางเดินสู่ตัวปราสาท มียอดหัวเสาคล้ายดอกบัวตูม 
 

 กำแพงแก้ว นครวัด

บรรณาลัย นครวัด

โคปุระ ปราสาทพระขรรค์  เสานางเรียง ปราสาทพระวิหาร

บาราย (Baray) คือสระน้ำขนาดใหญ่ที่ขุดสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างปราสาท บาราย(สระน้ำ)มีการขุดสร้างไว้ทั้งส่วนที่อยู่ภายในกำแพงและนอกกำแพง

สะพานนาคราช (Naga bridge) เป็นบันไดทางขึ้นสู่ตัวปราสาท มีลักษณะเป็นลานยกพื้นรูปกากบาท ตามคติความเชื่อในการก่อสร้างปราสาทของศาสนาฮินดู

เสาลูกมะหวด หรือ ลูกมะหวด (Balustre) คือส่วนประดับตกแต่งบนผนังด้านนอกทั้งสองข้าง ลักษณะคล้ายราวลูกกรงช่องหน้าต่างหรือช่องระเบียงแกะกลึงเป็นปล้องๆ

บราลี (Barali) คือแท่งหินแกะกลึงเป็นปล้องๆ มีส่วนปลายแหลมมนเรียงกันเป็นแนวยาวประดับสันกลางของหลังคาอาคารและหลังคาระเบียงคดรอบปราสาท ทุกวันนี้ บราลีในปราสาทเขมรมีหลงเหลืออยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพแตกหักและถูกทำลายลงไปเป็นจำนวนมาก


บาราย ปราสาทพระวิหาร

เสาลูกมะหวด นครวัด

            สถาปัตยกรรมขอม มีการออกแบบก่อสร้างอย่างมีระเบียบแบบแผน ภายในอาณาบริเวณของปราสาท จึงมีการวางตำแหน่งและการสร้างทางสถาปัตยกรรม ภายใต้คติความเชื่อเรื่องศาสนสถานอันเป็นที่สถิตของเทพเจ้า และเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ในคติการสร้างปราสาท สามารถจำแนกแบ่งแผนผังโครงสร้างได้ 2 แบบใหญ่ๆ คือ
            1. แบบแผนผังล้อมรอบจุดศูนย์กลาง ซึ่งมีองค์ปราสาทประธานอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยระเบียงคด อาจมีสระน้ำและกำแพงล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง สถาปัตยกรรมขอมแบบนี้สร้างอยู่บนพื้นราบ
            2. แบบแผนผังที่สร้างตรงเข้าสู่จุดศูนย์กลาง เป็นคติความเชื่อเรื่องศาสนสถานที่อยู่บนภูเขา ด้วยความรู้สึกถึงการเดินทางจากพื้นราบของโลกมนุษย์ ไปเฝ้าเทวาลัยอันเป็นที่สถิตของเทพเจ้าที่ประทับอยู่บนสวรรค์อันเป็นที่สูง ตลอดเส้นทางจะนิยมสร้างบันไดทางเดินและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เพื่อนำขึ้นไปสู่ปราสาทประธานที่อยู่บนยอดสูงสุด

               ดังนั้น แบบแผนการสร้างสถาปัตยกรรมขอมจึงประกอบไปด้วยส่วนรายละเอียดต่างๆ ดังสามารถอธิบายโดยสังเขป ดังนี้


ปรางค์ประธาน (Prang) เป็นปรางค์องค์กลางที่มีขนาดสูงใหญ่และโดดเด่นมากที่สุด ส่วนใหญ่จะสร้าง ณ ตำแหน่งกึ่งกลางของปรางค์ทั้งหมดภายในปรางค์ประธานเป็นใจกลางสถานอันศักดิ์สิทธิ์(Central sanctuary) คือห้องที่เรียกว่า “ห้องครรภคฤหะ(Garbhagriha)” หรือ “เรือนธาตุ” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานสัญลักษณ์แห่งองค์เทพหรือประติมากรรมรูปเคารพสูงสุด หากเป็นลัทธิไศวนิกายจะประดิษฐานศิวลึงค์(linga)ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งพระศิวะ หรือลัทธิไวษณพนิกายก็จะประดิษฐานประติมากรรมเทวรูปพระวิษณุ 

ปรางค์ประธานนครวัด ตั้งอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลาง มีขนาดใหญ่และสูงที่สุด

เรือนยอดหรือส่วนยอด (Rooftop Prang) คือช่วงบนขององค์ปรางค์เหนือส่วนเรือนธาตุขึ้นไป เป็นหลังคาซ้อนชั้นลดหลั่นกัน มักแกะสลักลวดลายเป็นกลีบซ้อนกันเรียกว่า “กลีบขนุน” แต่ละชั้นมีนาคปัก  หมายถึง  หัวพญานาคประดับที่มุมประธาน แต่ละด้านประดับด้วย  “บันแถลง” หมายถึง รูปจั่วหรือซุ้มหน้าต่าง เป็นรูปสัญลักษณ์ของวิมานซึ่งเป็นที่สถิตของเทวดา ส่วนยอดสุดเป็นรูปกลีบบัวรองรับส่วนยอด เรียกว่า “กลศ (Kalasa)”  มีรูปร่างคล้ายหม้อน้ำเทพมนตร์ในศาสนาฮินดู

มณฑป (Mandapa or Mondop) หรืออาคารเรือนมณฑป เป็นอาคารมุขยื่นที่สร้างไว้ติดกับปรางค์ประธาน ส่วนภายในของมณฑปจะสร้างเป็นห้องโถงใหญ่ สร้างเป็นอาคารเพิ่มมุมเพื่อออกมุขรับกับซุ้มประตูทางเข้าสู่ด้านหน้าของห้องครรภคฤหะ
 
มุขกระสัน หรือ อันตราละ (Antarala) คือทางเดินมีหลังคาคลุม หรือฉนวนทางเดินสู่ปราสาท โดยสร้างเชื่อมระหว่างปรางค์ประธานกับมณฑป

ระเบียงคด (Gallery or Cloister) คือ เฉลียงหรือระเบียงทางเดินที่มีสร้างล้อมรอบปรางค์ประธาน มีลักษณะเป็นวิหารล้อมรอบลานด้านในของวิหารหลัก หรือกำแพงชั้นในที่ล้อมรอบปราสาทประธาน นิยมแกะสลักประติมากรรมบนผนังของระเบียงคด จึงเปรียบเสมือนดั่งศิลปกรรมบนผนังที่ล้อมรอบไว้ทั้งสี่ทิศ


    เรือนยอดปราสาทบากองมณฑปปราสาทบันทายสรี

 

มุขกระสัน (อันตราละ)

ระเบียงคด นครวัด

ทับหลัง (Lintel) คือแผ่นหินหรือแท่งหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใช้ทับบนกรอบประตูเพื่อรองรับเครื่องบนหรือโครงสร้างหลังคา เป็นการสร้างเพื่อรับน้ำหนักของชั้นหลังคา นิยมสลักลวดลายอันงดงามและภาพเล่าเรื่องต่างๆในศาสนาฮินดู ลักษณะแบบของทับหลังยังสามารถทำให้ทราบได้ว่าศาสนสถานนั้นสร้างขึ้นเมื่อใด เพราะทับหลังจะสร้างขึ้นพร้อมกับตัวปราสาทเสมอ

หน้าบัน (Pediment) คือพื้นที่รูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วอยู่เหนือทับหลังขึ้นไป  เป็นส่วนสำคัญของหลังคา ตัวหน้าบันนิยมสลักลวดลายและภาพเล่าเรื่องที่สัมพันธ์กับภาพประติมากรรมบนทับหลัง
 
เสาติดผนัง (Pilastre) คือ วงกบกรอบประตู เป็นเสาสี่เหลี่ยมรองรับน้ำหนักของส่วนบนของส่วนหลังคา นิยมแกะสลักลวดลายอย่างงดงามตระการตา 

เสาประดับกรอบประตู(Colonnette) เป็นเสาที่สร้างอยู่ด้านหน้าวงกบกรอบประตู วางขนาบอยู่สองข้างประตู ทำจากหินทราย มีทั้งเสาทรงกลมและทรงแปดเหลี่ยม นิยมประดับด้วยลายที่เรียกกันว่าวงแหวน และลายใบไม้สามเหลี่ยม ทำขึ้นเพื่อการประดับตกแต่งมากกว่าการรับน้ำหนัก ทำให้ในส่วนนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะของลวดลายตามปราสาทขอมแต่ละสมัย
 

ทับหลังปราสาทพระโค

หน้าบันปราสาทบันทานสรี

ประตูหลอก เสาติดผนังและเสาประดับกรอบประตู เสาติดผนัง (ซ้าย) และเสาประดับกรอบประตู (ขวา) ปราสาทบันทายสรี

กำแพงแก้ว (Enclosure Wall) เป็นแนวกำแพงที่ล้อมรอบศาสนสถานหรือปราสาท ตรงกลางกำแพงมีซุ้มประตูทางเข้าทั้งสี่ด้านหรือสี่ทิศ เรียกว่า โคปุระ

โคปุระ(Gopura) คือ ซุ้มประตู หรือ ช่องทางสำหรับเข้าออกกำแพงที่ล้อมรอบปราสาท 

บรรณาลัย (Library) หรือ ห้องสมุด หรือ หอหนังสือ ลักษณะเป็นอาคารขนาดเล็กที่มีแผนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู

ทางดำเนิน หรือ ชาลาทางเดิน (Royal walkway)  ลักษณะเป็นทางเดินสำหรับกษัตริย์หรือเส้นทางของผู้มาสักการบูชา เป็นทางเชื่อมระหว่างประตูด้านนอกเข้าสู่องค์ปราสาท ตลอดเส้นทางมักประดับด้วยเสาตั้งเป็นแนวตลอดทางเดินเรียกว่า “เสานางเรียง” หรือ “เสานางจรัล”

เสานางเรียง  หรือ เสานางจรัล (Stone pillars or Candle columns) เป็นเสาตั้งอยู่ลอยๆเรียงตามแนวทางเดินสู่ตัวปราสาท มียอดหัวเสาคล้ายดอกบัวตูม 
 

 กำแพงแก้ว นครวัด

บรรณาลัย นครวัด

โคปุระ ปราสาทพระขรรค์  เสานางเรียง ปราสาทพระวิหาร

บาราย (Baray) คือสระน้ำขนาดใหญ่ที่ขุดสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างปราสาท บาราย(สระน้ำ)มีการขุดสร้างไว้ทั้งส่วนที่อยู่ภายในกำแพงและนอกกำแพง

สะพานนาคราช (Naga bridge) เป็นบันไดทางขึ้นสู่ตัวปราสาท มีลักษณะเป็นลานยกพื้นรูปกากบาท ตามคติความเชื่อในการก่อสร้างปราสาทของศาสนาฮินดู

เสาลูกมะหวด หรือ ลูกมะหวด (Balustre) คือส่วนประดับตกแต่งบนผนังด้านนอกทั้งสองข้าง ลักษณะคล้ายราวลูกกรงช่องหน้าต่างหรือช่องระเบียงแกะกลึงเป็นปล้องๆ

บราลี (Barali) คือแท่งหินแกะกลึงเป็นปล้องๆ มีส่วนปลายแหลมมนเรียงกันเป็นแนวยาวประดับสันกลางของหลังคาอาคารและหลังคาระเบียงคดรอบปราสาท ทุกวันนี้ บราลีในปราสาทเขมรมีหลงเหลืออยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพแตกหักและถูกทำลายลงไปเป็นจำนวนมาก


บาราย ปราสาทพระวิหาร

เสาลูกมะหวด นครวัด

สะพานนาคราช นครวัด

ปราสาทนางอัปสรา หรือ วิหารร่ายรำ (Hall of Dancers) เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นในช่วงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตามแนวยาวในทิศตะวันออก และแบ่งพื้นที่ส่วนลานกว้างทั้งสี่ด้วยระเบียงคด ภายในล้วนแกะสลักไว้ด้วยภาพจำหลักรูปนางอัปสราในท่วงท่าร่ายรำเป็นจำนวนมาก

ธรรมศาลา หรือ วหนิคฤหะ (Dharmasala or House of Fire) หรือ “บ้านมีไฟ” หรือ “ที่พักคนเดินทาง” ซึ่งก่อด้วยศิลาและจุดไฟไว้ตลอด มีลักษณะเป็นอาคารในแนวยาว สร้างขึ้นในช่วงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ปราสาทนางอัปสรา (วิหารร่ายรำ) ปราสาทพระขรรค์

ปราสาทบันทายฉมาร์ (ปราสาทบันเตียชมา)

สะพานนาคราช นครวัด

ปราสาทนางอัปสรา หรือ วิหารร่ายรำ (Hall of Dancers) เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นในช่วงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตามแนวยาวในทิศตะวันออก และแบ่งพื้นที่ส่วนลานกว้างทั้งสี่ด้วยระเบียงคด ภายในล้วนแกะสลักไว้ด้วยภาพจำหลักรูปนางอัปสราในท่วงท่าร่ายรำเป็นจำนวนมาก

ธรรมศาลา หรือ วหนิคฤหะ (Dharmasala or House of Fire) หรือ “บ้านมีไฟ” หรือ “ที่พักคนเดินทาง” ซึ่งก่อด้วยศิลาและจุดไฟไว้ตลอด มีลักษณะเป็นอาคารในแนวยาว สร้างขึ้นในช่วงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ปราสาทนางอัปสรา (วิหารร่ายรำ) ปราสาทพระขรรค์

ปราสาทบันทายฉมาร์ (ปราสาทบันเตียชมา)

คำค้นยอดนิยม

จิตรกรรม ศิลปะเเบบสื่อผสมของบรูไน สกุลศิลปะปาละวะ เรนา -1 ศิลปะแบบไพรกเมง ประติมากรรมพม่า ศิลปะขอมในประเทศไทย หรือ ศิลปะลพบุรี (Lopburi Art) ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก ผู้เขียน ธรรมจักรและกวางหมอบ ปราสาทพระโค ศิลปะวิคตอเรีย ศิวนาฏราช ประติมากรรมอินโนนีเซีย บรูไน เหรา เจดีย์ ศิลปะอาเซียนคือ ประติมากรรมอยุธยา ประติมากรรมบรูไน ศิลปะบรูไน ดารุสซาลาม จิตรกรรมไทย สัตตบรรณ ประติมากรรม อินโดนีเซีย ประติมากรรม ประติมากรรมฟิลิปปินส์ ธรรมจักร ศิลปะไทย

ข้อมูลจากหนังสือศิลปะอาเซียน ของ รศ.ปิยะแสง จันทรวงศไพศาล อาจารย์ประจำภาควิชาทฤษฎีศิลป์ คณะจิตรกรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศสตร์ศิลป์ของอาเซียน

Copyright © All rights reserved | This template is made with by Colorlib