ป้ายนิทรรศการงานวันพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ปี พ.ศ. 2556 |
ป้ายนิทรรศการ "วันพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประจำปี ๒๕๕๖"
จัดแสดงในวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
พระราชกรณียกิจ ในการวางรากฐานทางเศรษฐกิจ
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสยามกับการค้าต่างประเทศมีการขยายตัวอย่างมาก ทำให้รัฐต้องวางรากฐานด้านการค้า ซึ่งมี ๒ วิธี คือ ๑. การส่งเสริมการค้าสำเภาจีน ๒. ส่งเสริมการค้ากับต่างประเทศ ดังนี้
๑. การส่งเสริมการค้าสำเภาจีน
การค้าสำเภาเป็นแหล่งรายได้สำคัญของสยามมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น จัดเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐ
เมื่อแรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี จำนวนเงินส่วยอากรไม่เพียงพอสำหรับการจับจ่ายในราชการแผ่นดิน
ทางราชสำนักต้องแต่งสำเภาไปค้าขายเพื่อหากำไรเพิ่มเติม ในสมัยรัชกาลที่ ๒ มีเรือกำปั่นหลวง ๒ ลำ สำหรับไปค้าขายยังเมืองต่าง ๆ เช่น อินเดีย เกาะหมาก สิงคโปร์ มาเก๊า เป็นต้น
จากประสบการณ์และความชำนาญการค้าสำเภาของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์” ในรัชกาลที่ ๒ จนสมเด็จพระราชบิดาตรัสเรียกว่า “เจ้าสัว” เมื่อทรงขึ้นครองราชสมบัติจึงทรงส่งเสริมการค้าสำเภาจีน ซึ่งรูปแบบการค้าสำเภาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยังคงดำเนินตามแบบเดิมที่เคยปฏิบัติต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน คือเป็นการค้าแสวงหาผลประโยขน์ภายใต้ระบบการทูตบรรณาการ
จากรายงานของเฮนรี่ เบอร์นี่ กล่าวว่าการค้าระหว่างจีนกับสยามได้กำไรสูงมากถึงร้อยละ ๓๐๐ และหลังจากการค้า
ต่างประเทศขยายตัว ตลาดการค้าที่สำคัญได้มีเพิ่มขึ้นคือเมืองท่าอาณานิคมของอังกฤษที่มลายู มีสำเภาจากสยามไปเทียบท่ามลายูปีละ ๓๐-๔๐ ลำ ใน พ.ศ. ๒๓๖๗ มีเรือจากสยามไปสิงคโปร์ ๓๐ ลำ สินค้าสยามขายในดินแดนแห่งนี้ได้จำนวนมาก ได้แก่ น้ำตาลทราย ๓ แสนรูปี ข้าว ๑ แสน ๖ หมื่นกว่ารูปี ยาสูบอีก ๑ แสน ๓ หมื่นรูปี
การส่งเสริมการค้าสำเภาจีนนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่ทรงปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และรับเทคโนโลยีแบบใหม่ด้วย เช่น เมื่อเฮนรี่ เบอร์นี่ เข้ามาได้นำกำปั่นแบบตะวันตกเข้ามา เรือสินค้าสยามก็ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน เพราะเรือกำปั่นเดินทางได้เร็วกว่าเรือสำเภาการค้าสำเภาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะรัฐเท่านั้น แต่เปิดโอกาสให้เจ้านาย ขุนนางและพ่อค้าจีนสามารถค้าขายได้ จึงทำให้การค้าต่างประเทศเจริญสูงสุดในสมัยรัชกาลที่ ๓
๒. การส่งเสริมการค้ากับชาวตะวันตก
ในปลายทศวรรษ ๒๓๖๐ สยามได้เปรียบดุลการค้าระหว่างประเทศถึง ๔๒๙,๔๑๙ รูปี ในการค้าขายกับสิงคโปร์ มะละกา และปีนัง ส่งผลให้อังกฤษเปิดเจรจาการค้าเสรีกับสยามในปลายรัชกาลที่ ๒ แต่ประสบความล้มเหลว
ต่อมาอังกฤษได้ส่งคณะทูต ซึ่งมี ร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์นี่ เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี การเจรจาครั้งนี้ใช้เวลานานกว่า ๕ เดือน จนกระทั่งมีการตกลงทำสนธิสัญญาในวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๖๙ ซึ่งเป็นปีที่ ๓ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
สนธิสัญญานี้นับเป็นสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ฉบับแรกที่สยามทำกับประเทศตะวันตกในสมัยรัตนโกสินทร์
สนธิสัญญาเบอร์นี่ มีผลบังคับต่อพ่อค้าอังกฤษ คือ ค้าขายในสยามอย่างเสรีโดยไม่ผ่านพระคลังสินค้า ยกเว้นข้าวที่ยังคงเป็นสินค้าต้องห้าม และสินค้าประเภทอาวุธที่ต้องขายให้รัฐบาลเท่านั้น และสยามต้องยกเลิกภาษีขาเข้าและขาออกจากพ่อค้าอังกฤษ ให้เก็บภาษีปากเรือแทน โดยกำหนดอัตราไว้ว่า เรือที่บรรทุกสินค้าเข้ามาขายเก็บวาละ ๑,๗๐๐ บาท ส่วนเรือที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าเข้ามาเก็บวาละ ๑,๕๐๐ บาท
ในอีกแง่หนึ่งของสนธิสัญญาเบอร์นี่ก็ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของสยามด้วยเช่นกัน คือ ทำให้กิจการค้าขยายตัวมีเรือสินค้าต่างชาติเข้ามาค้าขายมากขึ้นทั้งเรือของพ่อค้าตะวันตกและพ่อค้าจากแหล่งต่าง ๆ ที่แวะพัก ทำให้สยามกลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่มีสินค้าหลากหลายประเภทเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษี และรายได้จากการค้าต่างประเทศมากขึ้น ปรากฏว่าในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ สินค้าออกของสยามทำรายได้ให้กับประเทศประมาณ ๓,๒๘๔,๓๒๕ บาท นับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้สินค้าสยามกระจายออกสู่ตลาดภายนอกประเทศได้ ส่งผลให้การผลิตเพื่อการส่งออกเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสมเด็จพระบรมชนกนาถให้ทรงกำกับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ และจัดส่งสำเภาไปค้าขายกับต่างประเทศ ทำให้ประเทศมีรายได้จากการค้าขายกับต่างประเทศสูงมาก จนได้รับพระนามจากพระราชบิดาว่า “เจ้าสัว” และในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบถวามพระราชสมัญญา “พระบิดาแห่งการค้าไทย” แด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า
สมเด็จพระมหาเจษฎาธิบดินทร์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มติชน ปากเกร็ด, ๒๕๕๑.
Strict Standards: Non-static method JFactory::getApplication() should not be called statically in G:\inetpub\wwwroot\sharing\plugins\content\jw_sig\includes\helper.php on line 295
Strict Standards: Non-static method JURI::root() should not be called statically in G:\inetpub\wwwroot\sharing\plugins\content\jw_sig\includes\helper.php on line 332
|
Today | 2 | |
Yesterday | 4 | |
This week | 9 | |
Last week | 31 | |
This month | 88 | |
Last month | 97 | |
All days | 80334 |
Your IP: 18.227.102.225
Mozilla 5.0,
Today: Apr 29, 2024
Notice: Undefined variable: list in G:\inetpub\wwwroot\sharing\templates\themza_j15_08\html\pagination.php on line 150 Notice: Undefined variable: html in G:\inetpub\wwwroot\sharing\templates\themza_j15_08\html\pagination.php on line 150 Notice: Undefined variable: list in G:\inetpub\wwwroot\sharing\templates\themza_j15_08\html\pagination.php on line 151 Strict Standards: Non-static method JText::_() should not be called statically in G:\inetpub\wwwroot\sharing\templates\themza_j15_08\html\pagination.php on line 153 Strict Standards: Non-static method JFactory::getLanguage() should not be called statically in G:\inetpub\wwwroot\sharing\libraries\joomla\methods.php on line 120 Copyright @2012,Thapra Library,Silpakorn University